วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2558

หน่วยความจำหลัก

 

                                      หน่วยความจำหลัก

  คือ  หน่วยความจำที่ต่อกับหน่วยประมวลผลกลาง และหน่วยประมวลผลกลางสามารถใช้งานได้โดยตรง หน่วยความจำ ชนิดนี้จะเก็บข้อมูล และชุดคำสั่งในระหว่างประมวลผล และมีกระแสไฟฟ้า เมื่อปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ข้อมูลในหน่วย ความจำนี้จะหายไปด้วย หน่วยความจำหลักที่ใช้ในระบบคอมพิวเตอร์ปัจจุบัน เป็นชนิดที่ทำมาจากสารกึ่งตัวนำ หน่วยความจำชนิดนี้มีขนาดเล็ก ราคาถูก แต่เก็บข้อมูลได้มาก และสามารถให้หน่วยประมวลผลกลาง นำข้อมูลมาเก็บ และเรียกค้นได้อย่างรวดเร็ว

         เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องต้องอาศัยหน่วยความจำหลัก เพื่อใช้เก็บข้อมูลและคำสั่ง ซีพียูจะทำหน้าที่นำคำสั่ง จากหน่วยความจำหลัก มาแปลงความหมายแล้วกระทำตาม เมื่อทำเสร็จก็จะนำผลลัพธ์มาเก็บไว้ในหน่วยความจำหลัก ซีพียูจะกระทำตามขั้นตอนเช่นนี้เป็นวงรอบเรื่อยๆ ไปอย่างรวดเร็ว เรียกการทำงานลักษณะนี้ว่า วงรอบคำสั่ง (Execution cycle)
         จากการทำงานเป็นวงรอบของซีพียูนี้เอง การอ่านเขียนข้อมูลลงในหน่วยความจำหลัก จะต้องทำได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้ทันการทำงานของซีพียู โดยปกติุุถ้าให้ซีพียูทำงานที่มีความถี่ของสัญญาณนาฬิกา 2,000 เมกะเฮิรตซ์ หน่วยความจำหลักที่ใช้ทั่วไปมักจะมีความเร็วไม่ทันช่วงติดต่ออาจมีเพียง 100 เมกะเฮิรตซ์

         หน่วยความจำหลักที่ใช้กับไมโครคอมพิวเตอร์ จึงต้องกำหนดคุณลักษณะในเรื่องช่วงเวลาเข้าถึงข้อมูล (Accesss time) ค่าที่ใช้ทั่วไปอยู่ในช่วงประมาณ 60 นาโนวินาที ถึง 125 นาโนวินาที (1 นาโนวินาทีเท่ากับ 10 ยกกำลัง -9 วินาที) แต่อย่างไรก็ตาม มีการพัฒนาให้หน่วยความจำ สามารถใช้กับซีพียูที่ทำงานเร็วขนาด 33 เมกะเฮิรตซ์ โดยการสร้าง หน่วยความจำพิเศษมาึคั่นกลางไว้ ซึ่งเรียกว่า หน่วยความจำแคช (cache memory) ซึ่งเป็นหน่วยความจำที่เพิ่มเข้ามา เพื่อนำชุดคำสั่ง หรือข้อมูลจากหน่วยหลักมาเก็บไว้ก่อน เพื่อให้ซีพียูเรียกใช้ได้เร็วขึ้น

แบ่งตามลักษณะการเก็บข้อมูล

1.หน่วยความจำแบบลบเลือนได้ (volatile memory)          คือถ้าเป็นหน่วยความจำที่เก็บข้อมูลไว้แล้ว หากไฟฟ้าดับ คือไม่มีไฟฟ้าจ่ายให้ กับวงจรหน่วยความจำ ข้อมูลที่เก็บไว้จะหายไปหมด

2. หน่วยความจำไม่ลบเลือน (nonvolatile memory)         คือ หน่วยความจำเก็บข้อมูลได้ โดยไม่ขึ้นกับไฟฟ้าที่เลี้ยงวงจร


แบ่งตามสภาพการใช้งาน

1. หน่วยความจำที่ซีพียูอ่านได้อย่างเดียว

           ไม่สามารถเขียนลงไปได้ เรียกว่า รอม (Read Only Memory : ROM)

รอมจึงเป็นหน่วยความจำที่เก็บข้อมูลหรือโปรแกรมไว้ถาวร เช่นเก็บโปรแกรมควบคุม การจัดการพื้นฐานของระบบ ไมโครคอมพิวเตอร์ (bios) รอม ส่วนใหญ่เป็นหน่วยความจำไม่ลบเลือนแต่อาจยอมให้ผู้พัฒนาระบบ ลบข้อมูลและ เขียนข้อมูลลงไปใหม่ได้ การลบข้อมูลนี้ต้องทำด้วยกรรมวิธีพิเศษ เช่น ใช้แสงอุลตราไวโลเล็ตฉายลงบนผิวซิลิกอน

หน่วยความจำประเภทนี้ มักจะมีช่องกระจกใสสำหรับฉายแสงขณะลบ และขณะใช้งานจะมีแผ่นกระดาษทึบ

ปิดทับไวเรียกหน่วยความจำประเภทนี้ว่า อีพร็อม (Erasable Programmable Read Only Memory : EPROM)


2. หน่วยความจำที่เขียนหรืออ่านข้อมูลได้

           การเขียนหรืออ่านจะเลือกที่ตำแหน่งใดก็ได้ เราเรียกหน่วยความจำประเภทนี้ว่า แรม (Random Access Memory: RAM) แรมเป็น หน่วยความจำแบบลบเลือนได้

          เป็นหน่วยความจำหลักที่สามารถนำโปรแกรม และข้อมูลจากอุปกรณ์ภายนอก หรือหน่วยความจำรองมาบรรจุไว้ หน่วยความจำแรมนี้ต่างจากรอมที่สามารถเก็บข้อมูลได้ เฉพาะเวลาที่มีไฟฟ้าเลี้ยงวงจรอยู่เท่านั้น หากปิดเครื่องข้อมูล จะหายได้หมดสิ้น เมื่อเปิดเครื่องใหม่อีกครั้ง จึงจะนำข้อมูลหรือโปรแกรมมาเขียนใหม่อีกครั้ง

          หน่วยความจำแรมมีขนาดแตกต่างกันออกไป หน่วยความจำชนิดนี้บางครั้งเรียกว่า read write memory ซึ่งหมายความว่า ทั้งอ่านและบันทึกได้ หน่วยความจำเป็บแรมที่ใช้อยู่สามารถแบ่งได้ 2 ประเภท คือ

1. ไดนามิกแรมหรือดีแรม (Dynamic RAM : DRAM)

          DRAM จะทำการเก็บข้อมูลในตัวเก็บประจุ ( Capacitor ) ซึ่งจำเป็นจะต้องมีการ refresh เพื่อ เก็บข้อมูลให้

คงอยู่ โดยการ refresh นี้ ทำให้เกิดการหน่วงเวลาขึ้นในการเข้าถึงข้อมูล และก็เนื่อง จากที่มันต้อง refresh ตัวเองอยู่ตลอดเวลานี้เอง จึงเป็นเหตุให้ได้ชื่อว่า Dynamic RAM ปัจจุบันนี้แทบจะหมดไปจากตลาดแล้ว

          ปัจจุบันมีการคิดค้นดีแรมขึ้นใช้งานอยู่หลายชนิด เทคโนโลยีในการพัฒนาหน่วยความจำประเภทแรม เป็นความพยายามลดเวลา ในส่วนที่สองของการอ่านข้อมูล นั่นก็คือช่วงวงรอบการทำงาน ดังนี้         

           Fast Page Mode DRAM (FPM DRAM)

               FPM นั้น ก็เหมือนๆกับ DRAM เพียงแต่ว่า มันลดช่วงการหน่วงเวลาในขณะเข้าถึงข้อมูลลง ทำให้มัน มีความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลสูงกว่า DRAM ปกติ โดยที่สัญญาณนาฬิการปกติในการเข้าถึงข้อมูล จะเป็น 6-3-3-3 ( Latency เริ่มต้นที่ 3 clock พร้อมด้วย 3 clock สำหรับการเข้าถึง page ) และสำหรับระบบแบบ 32 bit จะมีอัตราการส่งถ่ายข้อมูลสูงสุด 100 MB ต่อวินาที ส่วนระบบแบบ 64 bit จะมีอัตราการส่งถ่ายข้อมูลสูงสุดที่ 200 MB ต่อวินาที เช่นกันครับ ปัจจุบันนี้ RAM ชนิดนี้ก็แทบจะหมดไปจากตลาดแล้ว แต่ก็ยังคงเห็นได้บ้างและมักจะมีราคา ที่ค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับ RAM รุ่นใหม่ๆ เนื่องจากที่ว่า ปริมาณที่มีในท้องตลาดมีน้อยมาก ทั้งๆที่ ยังมีคนที่ต้องการใช้ RAM ชนิดนี้อยู่

           Extended-Data Output (EDO)

               DRAM หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ Hyper-Page Mode DRAM ซึ่งพัฒนาขึ้นอีกระดับหนึ่ง โดยการที่มันจะอ้างอิงตำแหน่ง ที่อ่านข้อมูลจากครั้งก่อนไว้ด้วย ปกติแล้วการดึงข้อมูลจาก

RAM ณ ตำแหน่งใดๆ มักจะดึงข้อมูล ณ ตำแหน่งที่อยู่ใกล้ๆ จากการดึงก่อนหน้านี้ เพราะงั้น ถ้ามีการอ้างอิง ณ ตำแหน่งเก่าไว้ก่อน ก็จะทำให้ เสียเวลาในการเข้าถึงตำแหน่งน้อยลง และอีกทั้งมันยังลดช่วงเวลาของ CAS latency ลงด้วย และด้วยความสามารถนี้ ทำให้การเข้าถึงข้อมูลดีขึ้นกว่าเดิม กว่า 40% เลยทีเดียว และมีความ สามารถโดยรวมสูงกว่า FPM กว่า 15%

              EDO จะทำงานได้ดีที่ 66MHz ด้วย Timming 5-2-2-2 และ ก็ยังทำงานได้ดีเช่นกันถึงแม้จะใช้งานที่ 83MHz ด้วย Timming นี้ และหากว่า chip EDO นี้ มีความเร็วที่สูงมากพอ ( มากกว่า 50ns ) มันก็สามารถใช้งานได้ ณ 100 MHz ที่ Timming 6-3-3-3 ได้อย่างสบาย อัตราการส่งถ่ายข้อมูลสูงสุดของ DRAM ชนิดนี้อยู่ที่ 264M ต่อวินาที

              EDO RAM เองก็เช่นกัน ณ ปัจจุบันนี้ ก็หาได้ค่อนข้างยากแล้วในท้องตลาด เนื่องจากบริษัทผู้ผลิต หยุดผลิต หรือ ผลิตในปริมาณน้อยลงแล้ว เพราะหันไปผลิต RAM รุ่นใหม่ๆ แทน ทำให้ราคาเมื่อเทียบเป็น เมกต่อเมก กับ SDRAM จึงแพงกว่า

 

Burst EDO (BEDO) DRAM

               BEDO ได้เพิ่มความสามารถขึ้นมาจาก EDO เดิม คือ Burst Mode โดยหลังจากที่มันได้ address ที่ต้องการ address แรกแล้ว มันก็จะทำการ generate อีก 3 address ขึ้นทันที ภายใน 1 สัญญาณนาฬิกา ดังนั้นจึงตัดช่วงเวลาในการรับ address ต่อไป เพราะฉะนั้น Timming ของมันจึงเป็น 5-1-1-1 ณ 66 MHz

               BEDO ไม่เป็นที่แพร่หลาย และได้รับความนิยมเพียงระยะเวลาสั้นๆ เนื่องมาจากว่าทาง Intel ตัดสินใจใช้ SDRAM แทน EDO และไม่ได้ใช้ BEDO เป็นส่วนประกอบในการพัฒนา chipset ของตน ทำให้บริษัทผู้ผลิตต่างๆ หันมาพัฒนา SDRAM กันแทน

           Synchronous DRAM (SDRAM)

               SDRAM นี้ จะต่างจาก DRAM เดิม ตรงที่มันจะทำงานสอดคล้องกับสัญญาณนาฬิกา สำหรับ DRAM เดิมจะทราบตำแหน่งที่จะอ่าน ก็ต่อเมื่อเกิดทั้ง RAS และ CAS ขึ้น แล้วจึงทำการ ไปอ่านข้อมูล โดยมีช่วงเวลาในการ

เข้าถึงข้อมูล ตามที่เราๆมักจะได้เห็นบน chip ของตัว RAM เลย เช่น -50 , -60, -80 โดย -50 หมายถึง ช่วงเวลา

เข้าถึง ใช้เวลา 50 นาโนวินาทีเป็นต้น แต่ว่า SDRAM จะใช้สัญญาณนาฬิกาเป็นตัวกำหนดการทำงาน โดยจะใช้ความถี่

ของสัญญาณเป็นตัวระบุ SDRAM จะทำงานตามสัญญาณนาฬิกาขาขึ้น เพื่อรอรับตำแหน่งที่ต้องการให้มันอ่าน

แล้วจากนั้น มันก็จะไปค้นหาให้ และให้ผลลัพธ์ออกมา หลังจากได้รับตำแหน่งแล้ว เท่ากับ ค่า CAS เช่น CAS 2 ก็คือ หลังจากรับตำแหน่งที่จะอ่านแล้ว มันก็จะให้ผลลัพธ์ออกมา ภายใน 2 ลูกของสัญญาณนาฬิกา

               SDRAM จะมี Timming เป็น 5-1-1-1 ซึ่งแน่นอน มันเร็วพอๆ กันกับ BEDO RAM เลยทีเดียว แต่ว่ามันสามารถ ทำงานได้ ณ 100 MHz หรือ มากกว่า และมีอัตราการส่งถ่ายข้อมูลสูงสุดอยู่ที่ 528 M ต่อวินาที

           DDR SDRAM ( หรือ ที่เรียกกันว่า SDRAM II )

               DDR DRAM นี้ แยกออกมาจาก SDRAM โดยจุดที่ต่างกันหลักๆ ของทั้งสองชนิดนี้คือ DDR SDRAM นี้ สามารถที่จะใช้งานได้ทั้งขาขึ้น และ ขาลง ของสัญญาณนาฬิกา เพื่อส่งถ่ายข้อมูล นั่นก็ทำให้อัตราส่งถ่ายเพิ่มได้ถึงเท่าตัว ซึ่งจะมีอัตราส่งถ่ายข้อมูลสูงสุดถึง 1 G ต่อวินาทีเลยทีเดียว

           Rambus DRAM (RDRAM)

               ชื่อของ RAMBUS เป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัท RAMBUS Inc. ซึ่งตั้งขึ้นมาตั้งแต่ยุค 80 แล้ว เพราะฉะนั้น ชื่อนี้ ก็ไม่ใช่ชื่อที่ใหม่อะไรนัก โดยปัจจุบันได้เอาหลักการของ RAMBUS มาพัฒนาใหม่ โดยการลด pin, รวม static buffer, และ ทำการปรับแต่งทาง interface ใหม่ DRAM ชนิดนี้ จะสามารถทำงานได้ทั้งขอบขาขึ้นและลง ของสัญญาณนาฬิกา และ เพียงช่องสัญญาณเดียว ของหน่วยความจำแบบ RAMBUS นี้ มี Performance มากกว่าเป็น

3 เท่า จาก SDRAM 100MHz แล้ว และ เพียงแค่ช่องสัญญาณเดียวนี้ก็มีอัตราการส่งถ่ายข้อมูลสูงสุดถึง 1.6 G ต่อวินาที               ถึงแม้ว่าเวลาในการเข้าถึงข้อมูลแบบสุ่มของRAMชนิดนี้จะช้า แต่การเข้าถึงข้อมูลแบบต่อเนื่องจะเร็วมากๆ ซึ่งหากว่า RDRAM นี้มีการพัฒนา Interface และ มี PCB ที่ดีๆ แล้วละก็ รวมถึง Controller ของ Interface ให้สามารถใช้งานมันได้ถึง 2 ช่องสัญญาณแล้วหล่ะก็ มันจะมีอัตราส่งถ่ายข้อมูลเพิ่มเป็น 3.2 G ต่อวินาทีและหากว่า

สามารถใช้งานได้ถึง 4 ช่องสัญญาณ ก็จะสามารถเพิ่มไปถึง 6.4 G ต่อวินาที มหาศาลเลย

2. Static Random Access Memory (SRAM)

              จะต่างจาก DRAM ตรงที่ว่า DRAM จะต้องทำการ refresh ข้อมูลอยู่ตลอดเวลา แต่ในขณะที่ SRAM จะเก็บข้อมูลนั้นๆ ไว้ และจะไม่ทำการ refresh โดยอัตโนมัติ ซึ่งมันจะทำการ refresh ก็ต่อเมื่อ สั่งให้มัน refresh เท่านั้น ซึ่งข้อดีของมัน ก็คือความเร็ว ซึ่งเร็วกว่า DRAM ปกติมาก แต่ก็ด้วยราคาที่สูงกว่ามาก จึงเป็นข้อด้อยของมันเช่นกัน

 

3.น่วยความจำความเร็วสูง (Cache Memory)

              หน่วยความจำแคช เป็นหน่วยความจำขนาดเล็กที่มีความเร็วสูง ทำหน้าที่เหมือนที่พักคำสั่ง และข้อมูลระหว่าง การทำงาน เพื่อให้การทำงานโดยรวมเร็วขึ้น แบ่งเป็นสองประเภท คือ แคชภายใน (Internal Cache) และแคชภายนอก (External Cache) โดยแคชภายใน หรือ L1 หรือ Primary Cache เป็นแคชที่อยู่ในซีพียู ส่วนแคชภายนอก เป็นชิปแบบ SRAM ติดอยู่บนเมนบอร์ด ทำงานได้ช้ากว่าแบบแรก แต่มีขนาดใหญ่กว่า เรียกอีกชื่อได้ว่า L2 หรือ Secondary Cache

 

 

เมนบอร์ด (Main board)

              เป็นอุปกรณ์ภายใจเครื่องคอมพิวเตอร์ เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ที่รวมองคืประกอบ ของคอมพิวเตอร์ทุกหน่วย เข้าด้วยกัน เป็นเหมือนศูนย์กลางของระบบคอมพิวเตอร์ เนื่องจากอุปกรณ์ทุกชิ้น ไม่ว่าจะเป็นหน่วยรับเข้า หน่วยแสดงผล หน่วยความจำหลัก หรือหน่วยความจำรอง ต้องถูกนำมาเชื่อมกับเมนบอร์ด จึงจะทำงานได้

               เราจำเป็นที่จะต้องจัดเตรียม Mainboard ให้ตรงกับ CPU ที่ใช้ ซึ่ง Mainboard ที่มีจำหน่ายในปัจจุบัน

ส่วนใหญ่จะเป็นประเภท ATX กันหมดแล้ว ในหัวข้อนี้เราจะมาดูว่า Mainboard แบบใดจึงจะเป็น Mainboard ที่จะเลือกมาใช้ในการประกอบเครื่องคอมฯของเรา โดยมีหลักในการเลือก Mainboard ดังนี้

ประการแรก ::>เมื่อเราพิจารณาแล้วว่าจะใช้ CPU จากค่ายใหนเราก็เลือกใช้

MainBoard ที่สนับสนุน CPU นั้นโดยอาจต้องคำนึงถึง ชื่อของผู้ผลิต MainBoard ด้วย

เพราะถึงแม้ว่าจะใช้ ChipSet เดียวกัน มีคุณสมบัติเหมือนกันแต่ก็มีประสิทธิภาพที่ต่างกันอีก

ทั้งยังมีเสถียรภาพที่ต่างกันด้วย ซึ่งในเรื่องของ เสถียรภาพนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมากในการเลือก

MainBoard เพราะ MainBoard มีเสถียรภาพต่ำก็จะทำให้เครื่องคอมฯของเราหยุดทำงานบ่อย

โดยไม่ทราบสาเหตุ

ประการที่สอง ::>ส่วนการที่จะพิจารณาว่าจะเลือก MainBoard แบบ All in One คือ Mainboard ที่มีทั้ง Card แสดงผล และ Sound Card บน Board บางรุ่นมี Modem และ

LAN Card บน Card ด้วย กับแบบที่ไม่มีอุปกรณ์เหล่านี้อยู่เลยอย่างใหนดีกว่ากัน นั้นจำเป็น

ต้องพิจารณาในเรื่องของราคาเป็นหลักเพราะ Mainboard ที่เป็นแบบ All in One นั้นจะมีราคาถูกกว่า MainBoard ที่ไม่มีอุปกรณ์ แต่สิ่งที่เราจะต้องสูญเสียไปคือการที่มีจำนวน Slot ที่จะใช้ในการเพิ่มเติมอุปกรณ์ลดน้อยลง อีกทั้งในเรื่องของเสถียรภาพของ Board แบบ

All in One จะต่ำกว่าแบบไม่มี และยังยากแก่การ Upgrade (การปรับเปลี่ยนอุปกรณ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่อง)

 

 http://www.chakkham.ac.th/technology/computer1/mainboard.htm

 

 

วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2558





                   
ยินดีตอนรับ บล๊อคครูคอมพระนคร  เราจะนำความรู้มาฝากทุกๆคนครับ วันนี้เป็นความรู้เกี่ยวกับระบบ   pci bus เพื่อหาความรู้และความหมายต่างของระบบไว้ในบล๊อคแล้วครับ>>//<<





ระบบ pci BUS

                                                        ระบบบัส (BUS System)




  ประวัติความเป็นมาและความหมาย
ระบบ PCI  เป็น Local Bus อีกแบบหนึ่ง ที่พัฒนาขึ้นโดย Intel ในเดือนกรกฎาคม ปี 1992 โดยแยกการควบคุมของระบบบัส กับ CPU ออกจากกัน และส่งข้อมูลผ่านทางวงจรเชื่อม ซึ่ง จะมี Chipset ที่คอยควบคุมการทำงานของระบบบัสต่างหาก โดยที่ Chipset ควบคุมนี้จะเป็นลักษณะ Processor Independent คือ ไม่ขึ้นกับตัว Processor( หรือ CPU ) แรกเริ่มที่เปิดตัวนั้น PCI เป็นระบบบัสแบบ 32 Bitที่ทำงานด้วยความเร็ว 33 MHz ซึ่งสามารถให้อัตราเร็วในการส่งผ่านข้อมูลถึง 133 M/s
ต่อมา เมื่อ
ระบบ PCI หรือ Peripheral Component Interconnect เป็น Local Bus อีกแบบหนึ่ง ที่พัฒนาขึ้นโดย Intel ในเดือนกรกฎาคม ปี 1992 โดยแยกการควบคุมของระบบบัส กับ CPU ออกจากกัน และส่งข้อมูลผ่านทางวงจรเชื่อม ซึ่ง จะมี Chipset ที่คอยควบคุมการทำงานของระบบบัสต่างหาก โดยที่ Chipset ควบคุมนี้จะเป็นลักษณะ Processor Independent คือ ไม่ขึ้นกับตัว Processor( หรือ CPU ) แรกเริ่มที่เปิดตัวนั้น PCI เป็นระบบบัสแบบ 32 Bitที่ทำงานด้วยความเร็ว 33 MHz ซึ่งสามารถให้อัตราเร็วในการส่งผ่านข้อมูลถึง 133 M/s
ต่อมา เมื่อ Intel เปิดตัว CPU Pentium ซึ่งเป็น CPU ขนาด 64 Bit ทาง Intel ได้กำหนดมาตรฐานของ PCI ใหม่ เป็น PCI 2.0 ในเดือนพฤษภาคม ปี 1993 ซึ่ง PCI 2.0 นี้มีความกว้างของเส้นทางข้อมูล 64 Bit ซึ่งหากใช้งานกับ Card 64 Bit จะสามารถให้อัตราเร็วในการส่งผ่านที่สูงสุด 266 M/s




เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์จะมีระบบบัสหลายแบบ ขึ้นอยู่กับการใช้ซีพียูที่มีสถาปัตยกรรมแบบ 8,16,32 และ 64 บิต เพราะการส่งข้อมูลบนบัสอาจจะเป็นแบบ 8,16,32 หรือ 64 บิตก็ได้ ขึ้นอยู่กับสถาปัตยกรรมของซีพียูเช่นกัน ถ้าซีพียูนั้นมีสถาปัตยกรรมแบบ 16 บิต การส่งผ ่านข้อมูลสามารถจะส่งได้ทั้งแบบ 8 หรือ 16 บิต ถ้าเป็นซีพียูขนาด 32 บิต การส่งผ่านข้อมูลสามารถส่งผ่านได้ทั้ง 8,16 หรือ 32 บิตได้ การส่งผ่านข้อมูลจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้ จึงต้องมีการออกแบบระบบบัสให้เหมาะสมกับสถาปัตยกรรมของซีพียู เนื่องจากบัสเป็น ทางผ่านของข้อมูลและโปรแกรมในการทำงานระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ ในเครื่องคอมพิวเตอร์ ระหว่าง ซีพียู หน่วยความจำ แคช จอภาพ ดิสก์ ฯลฯ ระบบบัสของไมโครคอมพิวเตอร์มีอยู่หลายแบบ แต่ละแบบจะมีโครงสร้างที่แตกต่างกันทั้งภายในและภายนอก ทั้งด้านความเร็ว สัญญาณรบกวน และกา รเชื่อมต่อ (Interface) ดังนั้นความเร็วและประสิทธิภาพในการทำงานของบัสจึงมีผลอย่างมากกับความเร็วของเครื่องคอมพิวเตอร์ ระบบบัสที่เหมาะสมจะต้องเร็วพอที่จะยอมให้อุปกรณ์อื่น ๆ รับและส่งข้อมูลผ่านมันได้ด้วยความเร็วเต็มที่ของอุปกรณ์นั้น ๆ เพื่อจะได้ไม่กลายเป็ นตัวถ่วงให้อุปกรณ์อื่น ๆ ต้องรอ อันจะทำให้ความเร็วโดยรวมของทั้งเครื่องลดลง แต่ขณะเดียวกันระบบบัสที่มีความเร็วสูงมาก ๆ ก็เพิ่มความยุ่งยากในการออกแบบ เพราะสัญญาณดิจิตอลที่เป็น 0 และ 1 ในทางไฟฟ้ามีแนวโน้มที่จะอ่อนกำลังหรือถูกรบกวนให้เพี้ยนไปได้ง่ายขึ้นที่ ความถี่สูง และระยะทางที่ยาวหรือวกวนบนเมนบอร์ด และนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่เมนบอร์ดในปัจจุบันใช้ความถี่อยู่เพียง 66 – 133 MHz ในขณะที่ซีพียูอาศัยการเร่งความเร็วของ clock ภายในเป็น 3 – 6 เท่า จากความถี่ภายนอกแทนจนสูงถึงเกือบ 2 GHz แล้วในปัจจุบัน ซึ่งสัง เกตุได้จากในปัจจุบันจะพบเห็นซีพียูที่มีความเร็ว 800 MHz 900 MHz 1000 MHz หรือ 1 GHz โดยซีพียู Pentium 4 มีความเร็วถึง 1.5 GHz คาดว่าภายใน ค.ศ. 2001 จะพบเห็นซีพียูที่มีความเร็วประมาณ 1.8 GHz ดังนั้นการพัฒนาระบบบัสจึงมีการพัฒนาการควบคู่กับซีพียูไปด้วยเพื่ อให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และระบบบัสบางระบบก็อาจจะเลิกใช้ในอนาคตอันใกล้นี้เพราะมีความเร็วในการส่งข้อมูลต่ำและผู้ผลิตเลิกผลิต ขณะเดียวกันก็หันไปพัฒนาระบบบัสใหม่มากยิ่งขึ้นต่อไป
      บัส เป็นเส้นทางเดินไฟฟ้าระหว่างอุปกรณ์หลาย ๆ อุปกรณ์ บัสที่ธรรมดที่สุดคือ บัสของระบบ (System Bus) ซึ่งมีอยู่ในไมโครคอมพิวเตอร์ทุก ๆ ตัว ซึ่งประกอบไปด้วยลายลวดทองแดงประมาณ 50 ถึง 100 เส้น แล้วแต่ว่าจะเป็นชนิดของบัสอะไร
โครงสร้างของบัสในเครื่องคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน เป็นผลทั้งจากพัฒนาการทางเทคโนโลยีและจากมาตรฐานดั้งเดิมที่ใช้กันมาในเครื่องคอมพิวเตอร์ยุคแรก ๆ จึงขออธิบายตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงปัจจุบันได้
ดังนี้


PCI BUS
     
PCI BUS ระบบ PCI  ก็เป็น LOCAL BUS อีกแบบหนึ่งที่พัฒนาขึ้นโดย INTEL โดยที่แยกการควบคุมของระบบบัส กับ CPU ออกจากกัน และส่งข้อมูลผ่านกันทางวงจรเชื่อมซึ่งจะมี CHIPSET ที่คอยควบคุมการทำงานของระบบบัสต่างหาก โดยที่ CHIPSET ที่ควบคุมนี้จะเป็นลักษณะ PROCESSOR  คือไม่ขึ้นกับตัว PROCESSOR ต่อมาเมื่อ INTEL เปิดตัว CPU ใน GENERATION ที่ 5 ของตน INTEL PENTIUM ซึ่งเป็น CPU ขนาด 64 BIT ทาง INTEL ได้ทำการกำหนดมาตรฐาน ของ PCI เสียใหม่เป็น PCI 2.0 ซึ่ง PCI 2.0 นี้ก็จะมีความกว้างของเส้นทางข้อมูลถึง 64 BIT ซึ่งหากใช้กับ CARD 64 BIT แล้วก็จะสามารถให้อัตราเร็วในการส่งผ่านที่สูงสุดถึง 266 M/s จุดเด่นของ PCI ที่เห็นได้ชัดนอกเหนือไปจากที่กล่าวข้างต้นก็ยังมีเรื่องของ BUS MASTERING ซึ่ง PCI นั้นก็สามารถทำได้เช่นกันกับ EISA และ MCA แล้ว CHIPSET ที่ใช้เป็นตัวควบคุมการทำงาน ก็ยังสนับสนุนระบบ ISA และ EISA อีกด้วย ซึ่งก็ทำให้สามารถผลิต MAINBOARD ที่มีทั้ง SLOT ISA, EISA และ PCI รวมกันได้ นอกจากนั้นยังสนับสนุนระบบ PLUG-AND-PLAY อีกด้วย [[59129]] ปัญหาเกี่ยวกับ PCI Bus ปกติ PCI Bus จะมีอัตราความเร็วที่ไม่เท่ากับระบบบัส (System Bus) นั่นคือ บน System Board ที่มีความเร็วระบบบัส 60/66 MHz ระบบ PCI Bus ที่ทำงานภายใต้ System Board นี้ จะทำงานที่ 33 MHz (ซึ่งเป็นอัตราความเร็วมาตรฐานของ PCI) สำหรับ System Board ที่มีระบบบัสทำงานที่ 75 และ 83 MHz นั้น ระบบ PCI Bus จะมีอัตราความเร็วอยู่ที่ 37.5 MHz หรือ 41.6 MHz ตามลำดับ ดังนั้น อุปกรณ์ที่ถูกออกแบบให้ทำงานที่ความเร็ว 33 MHz ซึ่งเป็นความเร็วปกติของ PCI Bus อาจเกิดปัญหาในการทำงานได้ โดยเฉพาะ Vide Card SCSI Card หรือ Network Card อย่างไรก็ดี Video Card อาจมีอุณหภูมิสูง มากกว่าปกติ แต่ยังสามารถทำงานได้ AGP ในกลางปี 1996 เมื่อ INTEL ได้ทำการเปิดตัว INTEL PENTIUM II ซึ่งพร้อมกันนั้นก็ได้ทำการเปิดตัวสถาปัตยกรรมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของหน่วยแสดงผลด้วย นั่นก็คือ ที่สนับสนุนการทำงานนี้ด้วย คือ 440LX AGP นั้นจะมีการเชื่อมต่อกับ CHIPSET ของระบบแบบ POINT-TO-POINT ซึ่งจะช่วยให้การส่งผ่านข้อมูลระหว่าง CARD AGP กับ CHIPSET ของระบบได้เร็วขึ้น และยังมีเส้นทางเฉพาะสำหรับติดต่อกับหน่วยความจำหลักของระบบ เพื่อใช้ทำการ RENDER ภาพแบบ 3D ได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย จากเดิม CARD แสดงผลแบบ PCI นั้นจะมีปัญหาเรื่องของหน่วยความจำเป็น CARD เพราะเมื่อต้องการใช้งานด้านการ RENDER ภาพ 3 มิติ ที่มีขนาดใหญ่มากๆ ก็จำเป็นต้องกมีการใช้หน่วยความจำบน CARD นั้นมากๆเพื่อรองรับขนาดของพื้นผิว ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของงาน RENDER แน่นอนเมื่อหน่วยความจำมากๆ ราคาก็ยิ่งแพง ดังนั้นทาง INTEL จึงได้ทำการคิดคันสถาปัตยกรรมใหม่เพื่องานด้าน GRAPHICS นี้โดยเฉพาะ AGP จึงได้ถือกำเนิดขึ้นมา AGP นั้นจะมี MODE ในการ RENDER อยู่ 2 แบบ คือ LOCAL TEXTURING และ AGP TEXTURING โดยใช้ LOCAL TEXTURING นั้นจะทำการ COPY หน่วยความจำของระบบไปเก็บไว้ที่เฟรมบัฟเฟอร์ของ CARD จากนั้นจะทำการประมวลผลโดยดึงข้อมูลจากเฟรมบัฟเฟอร์บน CARD นั้นอีกที ซึ่งวิธีการนี้ก็เป็นวิธีที่ใช้บนระบบ PCI ด้วย วิธีการนี้จะเพิ่มขนาดของหน่วยความจำเป็น CARD มาก AGP TEXTURING นั้นเป็นเทคนิคใหม่ที่ช่วยลดขนาดของหน่วยความจำ หรือเฟรมบัฟเฟอร์บน DISPLAY CARD ลงได้มาก เพราะสามารถทการใช้งานหน่วยความจำของระบบให้เป็นเฟรมบัฟเฟอร์ได้เลย โดยไม่ต้องดึงข้อมูลมาพักไว้ที่เฟรมบัฟเฟอร์ของ CARD ก่อน [[59130]] โดยปกติแล้ว AGP จะทำงานที่ความเร็ว 66 MHz ซึ่งแม้ว่าระบบจะใช้ FSB เป็น 100 MHz แต่มันก็ยังคงทำงานที่ความเร็ว 66 MHz ซึ่งใน MODE ปกติของมันก็จะมีความสามารถแทบจะเหมือนกับ PCI แบบ 66 MHz เลยโดยจะมีอัตราการส่งข้อมูลที่สูงถึง 266 M/s และนอกจากนี้ยังสามารถทำงานได้ทั้งขอบขาขึ้นและขอบขาลงของ 66 MHz จึงเท่ากับว่ามันทำงานที่ 133 MHz ซึ่งจะช่วยเพิ่มอัตราการส่งถ่ายข้อมูลขึ้นได้สูงถึง 532 M/s ซึ่งเรียก MODE นี้ว่า MODE 2X และ MODE ปกติว่า MODE 1X สำหรับความเร็วในการส่งถ่ายข้อมูลนั้น ก็ขึ้นกับชนิดของหน่วยความจำหลักด้วย ถ้าหน่วยความจำหลักเป็นชนิดที่เร็วก็จะยิ่งช่วยเพิ่มอัตราเร็วในการส่งถ่ายมากขึ้น ดังนี้ - EDO RAM หรือ SD RAM PC 66 ได้ 528 M/s - SD RAM PC 100 ได้ 800 M/s - DR RAM ได้ 1.4 G/s อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ระบบบัสแบบ AGP ทำได้ดีกว่า PCI ก็เพราะเป็น SLOT แบบเอกเทศไม่ต้องไปใช้ BANDWIDTH ร่วมกับใคร
  • PCI BUS
PCI มาจากคำว่า Peripheral Component Interconnection เป็น Local Bus ชนิดหนึ่ง คำว่า Local Bus หมายถึงระบบบัสที่มีเส้นสายสัญญที่เชื่อมต่อกันโดยตรงระหว่างบัสของโปรเซสเซอร์กับ Local Bus ดังนี้อัตราความเร็วรวาททั้งขนาดของบิตข้อมูลจึงเท่ากับโปรเซสเซอร์ อย ่างไรก็ดี PCI Bus ไม่ได้เชื่อมต่อโดยตรงกับบัสของโปรเซสเซอร์เหมือนกันกับ Local Bus ระบบอื่น เช่น VESA Bus แต่เชื่อมต่อผ่านชุดของ PCI Chip Set ซึ่งก็มีข้อดีคือ ไม่ดึงกระแสไฟจากเส้นสัญญาของโปรเซสเซอร์บัส ทำให้สามารถมีจำนวนของ PCI Slot ได้มากกว่า VESA Local Bus ส่วนขนาดของบิตข้อมูลที่ใช้สื่อสารกันระหว่าง PCI I/O การ์ด กับโปรเซสเซอร์จะมีขนาด 32 บิต ซึ่งจะลดปัญหาคอขวดในส่วนนี้ลงได้ แต่ก็ยังพบปัญหาคอขวดอยู่บ้างนั้นคือเรื่องของความเร็วการทำงานที่ 33.3 MHz
อัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูลลน PCI BUS เราสามารถคำนวณออกมาได้ดังนี้
33 MHz x 32 Bit = 1,056 Mbit/sec
1,056 Mbit/sec หารด้วย 8 = 132 Mb/sec
หากเป็นระบบ PCI ขนาด 64 บิต เราจะได้ความเร็วเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า หรือประมาณ 264 MB/sec จึงเหมาะสำหรับงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกราฟิกและระบบ Multimedia คุณลักษณะที่สำคัญของ PCI Bus มีดังนี้
  1. มีอัตราความเร็ว 2 แบบ คือ
    (1) มาตรฐาน 2.0 ทำงานที่ความเร็ว 30 – 33 MHz
    (2) มาตรฐาน 2.1 ทำงานที่ความเร็ว 66 MHz
ปัจจุบันเมนบอร์ดทั่วไปใช้มาตรฐาน PCI 2.2 ที่สามารถติดตั้งถึง 5 Slot และสามารถรองรับการทำงานของ PCI การ์ดแบบ Bus Master เช่น SCSI หรือ Lan การ์ด เป็นต้น (Bus Master เป็นระบบส่งเสริมการถ่ายเทข้อมูลความเร็วสูงโดยไม่ใช้ระบบ DMA บนเมนบอร์ด ซึ่งก็หมายค วามว่าภายใต้การสื่อสารข้อมูลด้วยระบบ Bus Master นี้ โปรเซสเซอร์ยังสามารถทำงานติดต่อกับโลกภายนอก เช่น แคช ได้)
  1. สามารถถ่ายเทข้อมูลในรูปแบบของ Burst Mode ที่ไม่มีรูปแบบที่จำกัดตายตัว คำว่า Burst Mode หมายถึง รูปแบบการขนส่งข้อมูล ลักษณะเป็นกลุ่มที่พรั่งพรูออกมาอย่างต่อเนื่องจำนวนหนึ่ง คำว่าไม่มีรูปแบบ จำกัดตายตัวหมายถึง ขนาดของข้อมูลที่ส่งถ่ายกันมีขนาดไม่แน่นอน และการถ่ายเทข้อมูลแบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่องทุกรอบของจังหวะสัญญาณนาฬิกา (Clock Cycle)
  2. PCI Bus มีอยู่ 2 แบบ คือ แบบที่ใช้แรงดันไฟ +3.3v(32 Bit PC) และ +5v สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ CPU แบบ RISC เช่น Alpha
  3. ใช้เทคนิคทำงานแบบ Multiplex สำหรับ Address หรือ Data เพื่อลดขนาดจำนวนของขาสัญญาณบน PCI Slot
  4. เป็นระบบ Plug and Play หมายความว่ามีระบบการจัดตั้งค่า Configuration ในทางฮาร์ดแวร์โดยอัตโนมัติทำให้อุปกรณ์ PCI ไม่จำเป็นต้องมี Jumper หรือ สวิตช์เล็ก ๆ เพื่อตั้งค่าหลบหลีกการแย่งใช้อินเตอร์รัปต์ระหว่างกัน
  5. มีระบบ Write Posting และ Read Prefetching
    (1) ระบบ Write Posting หมายถึง การเตรียมเขียนข้อมูลคำสั่งไว้ล่วงหน้า รวมทั้งการเตรียมการอ่านข้อมูลคำสั่งล่วงหน้า เป็นการประหยัดเวลาที่ใช้เพื่อเตรียมการอ่าน/เขียนคำสั่งต่อไป
    (2) ระบบ Read Prefetching
  6. สามารถจัดตั้ง Configuration ได้ในทางซอฟต์แวร์ซึ่งก็คือ การจัดตั้งแผ่น BIOS Setup
  7. เป็นระบบบัส ที่ไม่ขึ้นกับโปรเซสเซอร์
  8. สามารถทำงานแบบ Concurrent BUS PCI ได้ หมายถึง PCI Card ที่ติดตั้งตาม Slot ต่าง ๆ สามารถทำงานพร้อมกันในเวลาเดียวกันได้ ซึ่งผิดกับระบบบัสแบบเก่า ๆ มีเพียงการ์ดหนึ่งเดียว ทำงานได้ในขณะนั้น ด้วยเหตุนี้ ระบบ PCI BUS จึงเหมาะสำหรับงานประเภท Multimedia โดย เฉพาะ Video Confrerence
  9. ระบบ PCI BUS ประกอบด้วย Chip Set ที่ทำหน้าที่เป็นตัวสะพาน (Bridge) เชื่อมระห่างโปรเซสเซอร์กับ PCI Expansion Slot ซึ่ง ชิปเซตนี้ประกอบด้วยชิปเซต 2 ตัว ได้แก่ (1) North Bridge ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมต่อและประสานงานการสื่อสารระหว่างโปรเซสเซอร์กับหน่วยความจำต่าง ๆ รวมทั้งเป็นสะพานเชื่อมต่อกันกับชิปเซตอีกตัวหนึ่ง (2) South Bridge เป็นตัวที่ดูแลเกี่ยวกับ I/O ต่าง ๆ
    1. อุปกรณ์ที่ถูกออกแบบมาให้ใช้กับ PCI BUS จะใช้เวลาการเข้าถึง Access ต่ำ (Low Latency) ลดเวลาจากการที่อุปกรณ์ PCI ต้องรอคอยเพื่อให้ได้มาของสิทธิ์ที่จะเข้าสู่การทำงานในระบบ หลังจากที่ส่งสัญญาณที่เป็นคำขอออกไปเรียบร้อยแล้ว


มาตรฐานต่าง ๆ ของของ PCI ในปัจจุบัน
- PCI 2.0 ทำงานที่ความเร็ว 30-33MHz
- PCI 2.1 สนับสนุนการทำงานที่ความเร็ว 66MHz
            - PCI 2.2 สนับสนุน slot ได้สูงถึง 5 slot และยังรองรับ PCI card แบบ Bus Master

รูปแบบของระบบ PCI Bus
- PCI Bus มีอยู่ 2 แบบ คือแบบ 32 บิต และ 64 บิต
มีการแบบใช้แรงดันไฟ +3.3v และ +5v สำหรับระบบบนเครื่อง PC ทั่วไปที่เป็นขนาด 32 บิต จะใช้ +3.3v
สามารถถ่ายเทข้อมูลแบบ Burst Mode ที่มีขนาดของข้อมูลที่ส่งถ่ายกันมีขนาดไม่แน่นอน
เป็นระบบ Plug n Play หรือ PnP ที่คุ้นเคย ซึ่ง PnP ก็คือสามารถจัดตั้งค่า Configuration ในทางฮาร์ดแวร์โดยอัตโนมัติ ซึ่งสามารถตั้งค่าที่จะไม่ให้เกิดการอินเทอร์รัพต์ระหว่างกัน
สามารถทำงานแบบ Concurrent Bus PCI ได้ ซึ่งก็แปลว่า card ที่ติดตั้งต่าง ๆ สามารถทำงานได้พร้อมกันได้
- PCI Bus มีระบบตรวจสอบความผิดพลาดและรายงานขณะส่งถ่ายข้อมูล
เป็นระบบ Bus ที่ไม่ขึ้นกับ Processor ใด ๆ อีกทั้งยังสามารถ Configuration โดยผ่านทาง Bios Setup
อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ติดตั้งอยู่บน PCI Bus จะใช้เวลาการเข้าถึง (Access) ต่ำ (Low Latency) ซึ่งจะลดเวลาในการร้องขอในการทำงานในระบบ

            - มีระบบ Write Posting และ Read Prefetching ซึ่งก็คือการเตรียมเขียนข้อมูลคำสั่งไว้ล่วงหน้า และการเตรียมการอ่านข้อมูลคำสั่งไว้ล่วงหน้า เพื่อเป็นการประหยัดเวลาที่ใช้เตรียมอ่าน เขียนคำสั่งต่อไป
 

 
การประสานการทำงานระหว่าง PCI และ PnP 

ทีนี้ เรามาพูดกันถึงเวลามันทำงานดีกว่านะครับ ยกตัวอย่าง ถ้าเราหาซื้อ Soundcard แบบ PCI มาตัวหนึ่ง และเครื่องที่เราใช้งาน ก็ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows98 / Me สิ่งต่างๆที่ควรจะเกิดขึ้นคือ 
  1. ปิดฝาเครื่องแล้วจัดการเสียบสายไฟ จากนั้นก็เปิดสวิทช์เครื่องให้เริ่มทำงาน
  2. เมื่อเครื่องเริ่มทำงาน BIOS ก็เริ่มทำการอ่านและติดตั้ง PnP BIOS
  3. PnP BIOS ก็เริ่มทำการตรวจสอบระบบบัส PCI เพื่อค้นหาอุปกรณ์ PnP ต่างๆ โดยการส่งสัญญาณถามอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต่ออยู่ในระบบบัสนี้ทุกๆตัว ว่าเป็นอุปกรณ์อะไร ซึ่งถ้าเป็นอุปกรณ์แบบ PnP จะมีการตอบรับกลับมา
  4. หลังจากได้รับสัญญาณถามแล้ว Soundcard ที่อยู่บนระบบบัส PCI และเป็น Card แบบ PnP ก็จะแสดงตน ว่าเป็น Card อะไร มีชื่ออะไร ตอบกลับไป ผ่านทาง ระบบบัส PCI กลับไปยัง BIOS
  5. PnP BIOS ทำการตรวจสอบ ESCD ใน EPROM เพื่อค้นหาค่าการติดตั้งต่างๆ ของ Soundcard แต่ในกรณีนี้ Soundcard เราเพิ่งจะติดตั้งเข้าไปใหม่ ดังนั้น จึงไม่มีค่าการติดตั้งใดๆ อยู่ใน ESCD เลย
  6. เมื่อไม่มี PnP BIOS จะทำการกำหนดค่า IRQ, DMA, Memory Address และ I/O Port ต่างๆ ให้กับ Soundcard โดยอัตโนมัติ และทำการเก็บค่าต่างๆ นี้ลงไว้ใน ESCD เพื่อใช้ในการอ้างอิงในการบูตเครื่องต่อๆ ไป รวมถึง ใช้ในการตรวจสอบของระบบปฏิบัติการด้วย
  7. เมื่อระบบปฏิบัติการ Windows บูตเครื่องขึ้นมา ก็จะทำการตรวจสอบค่าการติดตั้งต่างๆ จาก ESCD และจากระบบบัส PCI เมื่อพบว่ามีอุปกรณ์ใหม่ คือ Soundcard ติดตั้งเข้ามา ก็จะทำการแสดงหน้าจอเพื่อบอกกับผู้ใช้ว่า ขณะนี้ ได้พบอุปกรณ์ใหม่แล้ว โดยระบบจะพยายามทำการตรวจสอบให้ด้วย ว่าเป็นอุปกรณ์ชนิดไหน
  8. ถ้าระบบสามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นอุปกรณ์ชนิดใด โดยนำค่าที่อ่าน มาเปรียบเทียบกับในระบบฐานข้อมูลในระบบปฏิบัติการเอง ก็จะแสดงชื่อ ของอุปกรณ์ดังกล่าว และจะให้ทำการติดตั้ง Driver ซึ่งเป็น Software ที่ช่วยในการติดต่อระหว่างอุปกรณ์นั้นๆ กับระบบปฏิบัติการ ลงไปด้วย ซึ่งโดยปกติแล้ว ถ้าอุปกรณ์ดังกล่าวมีอยู่ในฐานข้อมูล ระบบก็จะสามารถติดตั้ง Driver ให้ได้เองเลย หรือจะให้ผู้ใช้ ใส่แผ่น หรือกำหนดที่เก็บตัว Driver ที่จะให้ติดตั้ง แต่ถ้าหากระบบปฏิบัติการ ไม่สามารถตรวจสอบให้ได้ ว่าเป็นอุปกรณ์ชนิดไหน ก็จะแสดงหน้าจอให้ผู้ใช้ระบุว่าเป็นอุปกรณ์ชนิดใด พร้อมทั้งกำหนดการติดตั้ง Driver เพื่อให้อุปกรณ์นั้นๆ ใช้งานได้ ซึ่งในบางครั้ง ก็อาจจะต้องมีการบูตเครื่องใหม่อีกครั้ง เพื่อให้อุปกรณ์นั้นๆ ทำงานได้อย่างถูกต้อง

อ้างอิง
http://www.vcharkarn.com/blog/33315/2848



วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

สมาชิกในกลุ่ม

                                       สมาชิกในกลุ่ม







นางสาว    วรรณวิมล   ยาม่วง   เอกคอมพิวเตอร์ศึกษา






นาย     อาทิตย์  โพธิ์คำ   เอกคอมพิวเตอร์ศึกษา





นาย     ชนาธิป   เกษกิจ   เอกคอมพิวเตอร์ศึกษา



นางสาว  อัญธิกา   ป้องทัพไทย  เอกคอมพิวเตอร์ศึกษา